เหตุการณ์การสูญพันธุ์ในยุคครีเทเชียส-เทอร์เชียรี
เหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส-เทอร์เชียรี
เกิดขึ้นเมื่อราว 65 ล้านปีที่แล้ว เป็นหนึ่งในการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก มีการสูญพันธุ์ครั้งนี้เกิดหลังเหตุการณ์การสูญพันธุ์เพอร์เมียน-ไทรแอสสิก ซึ่งอยู่ระหว่าง
214-199 ล้านปีก่อน ส่วนในปลายยุคครีเทเชียส ซึ่งกวาดล้างสิ่งมีชีวิตไปกว่า
70% รวมถึงพวกไดโนเสาร์ เทอโรซอร์
และสัตว์เลื้อยคลานใต้ทะเล[ต้องการอ้างอิง]
สิ่งมีชีวิตที่ไม่สูญพันธุ์ ได้แก่พวกหนู สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก เต่า ปลาซีลาแคนด์ และงู[ต้องการอ้างอิง]
สาเหตุการสูญพันธุ์สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากอุกกาบาตที่พุ่งชนโลกบริเวณคาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก
ทฤษฎีต่างที่อธิบายการสูญพันธุ์
ทฤษฎีอุกบาตชนโลก
เป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือที่สุด โดยสาเหตุของทฤษฎีนี้ เพราะว่ามีการค้นพบหลุมอุกบาต ขนาด 10.กม
ในบริเวณแหลมยูกาตัน ประเทศเม็กซิโก และนอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอิริเดียม
ที่พบมากในอุกกาบาต ในบริเวณแหลมยูกาตันด้วย ซึ่งแร่ธาตุอิริเดียม
พวกนี้อาจมาจากอุกบาตที่พุ่งชนโลก ในบริเวณนั้น
ทฤษฎีภูเขาไฟระเบิด
เป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือเช่นเดียวอุกบาตพุ่งชนโลก
ซึ่งภูเขาไฟทั่วโลกอาจระเบิดพร้อมกัน ทำให้พืชที่ไดโนเสาร์กินพืชกินนั้นเป็นพิษเมื่อมันกินเข้าไป
ทำให้พวกไดโนเสาร์กินพืชต่างล้มตาย และเมื่อพวกกินเนื้อไม่มีอาหารคือพวกกินพืช
พวกมันก็ล่ากันเอง จนสูญพันธุ์ในที่สุด
ทฤษฎีอากาศหนาวขึ้นและการเปลียนแปลงกระทันหันของสภาพแวดล้อม
โดยฤดูกาลในโลกอาจเปลี่ยนแปลง ทำให้มีหิมะตก จนอากาศหนาวขึ้น และเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง
พวกสัตว์อาจปรับตัวไม่ทันและสูญพันธุ์ในที่สุด
ทฤษฎีไข่ถูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขโมย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินไข่อาจเพิ่มจำนวนขึ้น
และเข้าไปกินไข่ของสัตว์อื่น แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นสัตว์เลื้อยคลานใต้ทะเลพวกอิกธีโอซอร์
ที่ไม่วางไข่บนบกจะไม่สูญพันธุ์ รวมทั้งแอมโมไนต์ ปลาในมหายุคมีโซโสอิคด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น